Members Login
Username 
 
Password 
    Remember Me  
Post Info TOPIC: พอดีเห็นคนเอาบทความนี้ไปลง ที่ Pantip.com เลยเอามาฝากคนที่นี้ น่าจะเข้ากับเนื้อหาในเว็ปไซต์นะคะ
เพื่อนผ่านมา

Date:
พอดีเห็นคนเอาบทความนี้ไปลง ที่ Pantip.com เลยเอามาฝากคนที่นี้ น่าจะเข้ากับเนื้อหาในเว็ปไซต์นะคะ
Permalink   


ที่มาจากเว็ปไซต์ pantip.com ค่ะ 


 


### [ อินเดีย ] ... ตลาดแห่งการศึกษาที่ไม่ควรไม่ข้าม ###
** เอามาจาก www.mthai.com ครับ (เครดิตคุณ พงษ์ประภากรณ์  ครับ)


ป.ล. ขออนุญาตนำอีเมลผู้เขียนออกนะครับ (กลัวผู้เขียนเค้าโดน Junk Mail เข้าไปเยอะครับ) ใครอยากได้อีเมลผู้เขียน เปิดเข้าไปดูในลิงค์เวป mthai ได้ครับ


แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 50 20:33:41


จากคุณ : Esprite  - [ 16 ม.ค. 50 20:21:36 ]  


 



--------------------------------------------------------------------------------


หน้าหลัก แจ้งลบ bookmark ส่งต่อกระทู้ พิมพ์ โหวตกระทู้ เก็บเข้าคลังกระทู้ กระทู้ก่อนหน้า กระทู้ถัดไป
 
  
 
 
 
 



--------------------------------------------------------------------------------


 ความคิดเห็นที่ 1  


ตอนที่ 1 #  5 ปี ใช้ชีวิตนักศึกษาในอินเดีย..


ผมไม่เคยอายใคร หากจะบอกว่าผมเรียนที่อินเดีย ถึงแม้ในสายตากลุ่มเพื่อนมักจะมองว่าผมต่ำต้อยที่มาเรียนที่นี่ อย่างน้อยรัฐบาลอินเดียก็ให้ความสำคัญในเรื่องการศึกษาแก่ประชากรของตนเอง ไม่เอาการศึกษาเป็นเครื่องมือหากินบนหยาดเหงื่อแรงงานของผู้ปกครองที่คอยส่งเสียลูกหลาน ให้ได้รับการศึกษาที่สูง เทอมละหลายหมื่นบาท คนจนไม่ใช่ไม่มีสมอง ไม่ใช่เรียนไม่เก่ง จนไม่สามารถจะเรียนได้ เพียงแต่ขาดโอกาสทางการเงิน ที่เป็นใบเบิกทางเข้าไปสู่การศึกษาเชิงธุรกิจที่ดีเท่านั้นเอง


หลายคนอาจจะคิดว่า การไปเรียนเมืองนอก เหมือนเป็นการขนเงินตราออกนอกประเทศ เงินที่นักศึกษาไทยขนมาเรียนในอินเดียแต่ละปี ตามทัศนคติของผมคิดว่ายังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของนักการพนันที่ทัวร์เที่ยวมาเก๊า และพวกนักช๊อปปิ้ง เมืองนอกเสียอีก เพราะเหตุว่าการศึกษาตลอดจนค่าครองชีพในอินเดียไม่แพงมากนัก หากอยู่เมืองที่เจริญหน่อย ที่พรั่งพร้อมไปด้วยความสะดวกสบายเหมือนอยู่เมืองไทยอาจจะตกเดือนละ หมื่นกว่าบาทหรืออาจจะไม่ถึง ปริญญาโทบางหลักสูตร 2 ปี บางหลักสูตรก็ 3-4 ปี ส่วนปริญญาเอก บางมหาวิทยาลัยต้องเรียนอนุปริญญาเอกก่อน ถึงจะมีสิทธิ์เรียน ปริญญาเอก เมื่อบวกลบคูณหาร อย่างไรก็ไม่เกิน 3 แสนบาท และผลดีของการที่อินเดียอยู่ใกล้ประเทศไทยก็คือไปมาสะดวก ค่าเครื่องก็ถูก


ทักษะภาษาอังกฤษคนอินเดียดีกว่าเรามากๆๆ คนจบ ดร. บ้านเรา บางคนยังพูดภาษาอังกฤษสำเนียงไทย หรือบางคนพูดได้ แต่ฝรั่งไม่เข้าใจก็มี ผมคนหนึ่งที่ไม่เคยเชื่อว่า คนที่มาเรียนอินเดียจะได้สำเนียงภาษาอังกฤษแบบแขกกลับไป คณะที่ผมเรียน มีทั้งคนญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อเมริกา เบลเยี่ยม และนานาประเทศ ไม่เคยเห็นคนเหล่านั้นกลัวในสิ่งที่คนไทยกลัว นั่นก็คือสำเนียงแขก แต่คนไทยกลัว....และดูเหมือนเป็นสิ่งน่ารังเกลียด


ทัศนคติ: "อินเดียสกปรกทั้งประเทศ" .....เพียงคิดเท่านี้ก็ผิดแล้วครับ มีคนไทยจำนวนไม่น้อย ที่คิดแบบนี้ และความคิดแบบนี้แหละ ที่เป็นกำแพงที่ทำให้เราพลาดโอกาสอันน่าเสียดาย อินเดีย อาจจะไม่ใช่ประเทศในดวงใจของเด็กไทยอีกหลายๆ คนที่อยากมาเรียน เพราะคิดเอาเองว่าอินเดียสกปรกทั้งประเทศ...ผมกล้าฟันธงเลยว่า อินเดียสะอาดกว่าประเทศไทยเสียอีก แต่ขอยกเว้นหน่อยว่า ไม่รวม รัฐพิหารและยูพี (except Bihar and UP) ถามว่าทำไม แม้แต่คนอินเดียก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า ทั้งสองรัฐนี้สกปรก แต่รัฐอื่น ต้องขอบอกว่า บางทีจังหวัดเชียงใหม่เห็นเป็นต้องอาย เช่น ฉิมล่า ชิลอง แคชเมียร์ ลาดัก เป็นต้น (คนไทยที่ชอบบอกว่าอินเดียสกปรกเคยมาสถานที่เหล่านี้หรือยังครับ? สถานที่เหล่านี้มีหิมะตกทุกๆปี ) คนไทยบางคนก็ยังไม่ทราบเลยว่าที่อินเดียมีหิมะ เพียงเท่านี้ก็บ่งบอกได้แล้ว บางอย่างเรารู้ แต่รู้ไม่จริง เพราะคนไทยส่วนมาก มีโอกาสได้มาแค่สองรัฐนี้เท่านั้น อย่าลืมว่าประเทศอินเดียกว้างใหญ่มาก การเดินทางจากรัฐหนึ่งไปอีกรัฐหนึ่ง อาจจะใช้ระยะเวลา 2-3 วัน บางแหล่งข้อมูลก็บอกว่าอินเดียใหญ่กว่าประเทศไทยถึง 6 เท่า บ้างก็ว่า 5 เท่า แต่อย่างไรก็ตาม อินเดียคงไม่ได้สกปรกอย่างที่พวกเราคิด พุทธสถานโดยส่วนมากจะอยู่ในสองรัฐนี้ ในแต่ละปี มีคนไทยหลายหมื่นหลายพันคนมากราบสังเวชนียสถาน ดังนั้นคนไทยเป็นจำนวนมาก ก็มีโอกาสรับข้อมูลข่าวสารแค่นี้ ข้อมูลจึงมีแค่สองรัฐนี้เท่านั้น และกลับไปเล่าและใส่จินตนาการนิดหน่อยว่า อินเดียสกปรกทั้งประเทศ


ภาวะสมองไหล..เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่รัฐบาลอินเดียเองก็แก้ไม่ตก เชื่อหรือไม่? (แต่ก็ต้องเชื่อ) วงการแพทย์ในอเมริกา ประมาณ 39% เป็นคนอินเดีย 37 % ทำงานในองค์กรนาซ่า 34 % อยู่บริษัทไมโครซอฟ และอีกประมาณ 28 หรือ 29 % ทำงานอยู่ในบริษัท I B M และองค์กรอื่นๆอีกมากมาย ที่อเมริกาดึงสมองของคนอินเดียไปเพิ่มศักยภาพให้แก่ตนเอง และคนอินเดียจำนวนไม่น้อยที่ได้กรีนการ์ดอยู่อเมริกาอย่างถูกกฎหมาย นี่อาจจะเป็นสภาพหรือสิ่งสะท้อนว่า ทำไมผมจึงอยากมาเรียนอินเดีย วิถีคิดของคนไทยก็คือมักชอบมองปมด้อยของคนอื่นมากกว่าที่จะมองจุดดี ....อินเดียสกปรก ขอทานเยอะ.... จึงวนเวียนในแนวคิดของเด็กไทยและผู้ปกครองตลอดจนผู้หลักผู้ใหญ่บางคนที่ได้เป็นใหญ่เป็นโตเพราะเส้นสายตลอดมา หากเรามองอินเดียแบบไหน เราก็จะได้สิ่งนั้น หากมองอินเดียสกปรก ขอทานเยอะ เราก็จะได้แต่อินเดียสกปรก ขอทานเยอะ หากมองว่า ทำไมคนอินเดียเขาถึงมีศักยภาพที่สามารถสร้างจานดานเทียมเองได้ ถึง 2 ดวงด้วยน้ำมือของคนอินเดียเอง ทำอย่างไรเราจะเป็นอย่างเขาบ้าง บางครั้งผมก็ไม่เข้าใจรัฐบาลไทยเหมือนกันว่า ในเมื่อประชาชนไม่ได้รับการศึกษา ความเป็นอยู่ของคนไทยจะดีขึ้นได้อย่างไร ผมเชื่อแน่ว่า หากคนไทยมีการศึกษาที่ดีและเพียงพอ การซื้อเสียงจะหมดไป เพราะคนมีการศึกษาสามารถแยกแยะได้ว่า การที่ประเทศจะเจริญต้องเลือกบุคคลากรที่ดีมีคุณภาพ ประเทศชาติถึงจะเจริญก้าวหน้า ตอนที่ผมยังเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 1 ผมใช้หนังสือเรียนชั้นประถมปีที่ 6 ของเพื่อนบ้านอีกคนหนึ่งที่จบไปแล้วหลายปี แต่ปัจจุบัน เปลี่ยนหลักสูตรทุกปี บางครั้งมีนโยบายบอกว่า ช่วยน้องในชนบทด้วยการบริจาคหนังสือมือสอง แต่เด็กในสังคมเมือง หลักสูตรเปลี่ยนแปลงทุกปี ไม่รู้ว่านี่คือปมด้อยหรือแรงบันดาลใจของเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ที่หวังเอาไว้สักวันหนึ่ง อยากเรียนในมหาวิทยาลัยที่ไม่ต้องพูดภาษาไทย


ผมอาจจะเป็นคนไทยคนหนึ่งในคนไทยอีกหลายพันคนที่มาใช้ชีวิตอยู่อินเดียคิดว่า อินเดียอาจจะเป็นแหล่งการศึกษาแหล่งใหม่ สำหรับเด็กรุ่นใหม่ที่หวังความเจริญก้าวหน้า ที่สถาบันการศึกษาที่เมืองไทยอาจจะยังหาคำตอบให้กับพวกเราไม่ได้...


อินเดีย คุณไม่จำเป็นต้องเป็นคุณหนู คุณก็มีโอกาสมาเรียนได้ คนฐานะปานกลางก็สามารถเรียนมหาวิทยาลัยชั้นนำของอินเดียได้....เพียงแต่ว่า ภาษาอังกฤษของเราแน่หรือเปล่า สื่อสารกับอาจารย์รู้เรื่องหรือเปล่า ติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ได้หรือเปล่า หากภาษาอังกฤษยังงูๆปลาๆ บางมหาวิทยาลัยก็ไม่รับ บางมหาวิทยาลัยต้องทดสอบภาษาอังกฤษ ก่อนที่จะรับพิจารณาเป็นนักศึกษา อาจารย์บางท่านเคยถามผมว่า ประเทศคุณเรียนภาษาอังกฤษกันอย่างไร เห็นอยู่ในผลการเรียนตั้งแต่ ประถม-ปริญญาตรี แต่ภาษาอังกฤษคนไทยแย่มาก
มาเรียนอินเดียไม่ต้องเตรียมอะไรมา เพียงแค่เตรียม.........


โปรดอ่านต่อฉบับหน้าครับ........ด้วยจิตคารวะ


โดย : พงษ์ (Guest !)
วันที่ : 2006-11-26 04:47:33


http://webboard.mthai.com/5/2006-11-26/284980.html
แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 50 20:39:35


จากคุณ : Esprite  - [ 16 ม.ค. 50 20:22:55 ]
 
  
 
 
 



 ความคิดเห็นที่ 2  


ตอนที่ 2 # ทำไม???คนไทยไม่อยากมาเรียนอินเดีย


(ต่อฉบับที่แล้ว 5 ปี ใช้ ชีวิตนักศึกษาในอินเดีย)...


แน่นอนว่า การจะไปศึกษาต่ออินเดียไม่ว่าจะเป็นประเทศใดก็ตาม สิ่งหนึ่งที่จำเป็นอย่างมากนั่นก็คือ เงิน เป็นคำสั้นๆ แต่มีอิทธิพลต่อการเรียนอย่างมากในยุคนี้ หากเรามีเงินก็ช่วยให้อุ่นใจได้บ้าง โดยไม่ต้องมีเรื่องเงินมากดดันทำให้ไม่สบายใจ บางมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่รัฐบาลกลางรับรอง เรียนต่อปริญญาเอก คุณมีเงินแค่ 3 แสนก็จบได้อย่างสบายมาก ตรงกันข้าม 3 แสน หากเรียนที่เมืองไทยปริญญาตรีก็ไม่รู้ว่าจะเรียนได้ถึงสามปีหรือเปล่า? เพราะเมืองไทยการศึกษาคือธุรกิจชนิดหนึ่ง แต่ที่อินเดีย 3 แสนคุณเรียนปริญญาเอกได้สบายมาก ประการที่ 2 คือ เตรียมใจ ที่จะต้องพบปัญหาต่างๆตามมามากมาย ที่แขกทำให้คุณปวดเศียรเวียนเกล้า หากมีแต่เงินอย่างเดียวแต่ไม่มีใจที่อยากไปเรียน โดน พ่อแม่บังคับบ้าง ตามเพื่อนบ้าง เรียนไปเที่ยวไปที่เมืองไทยอาจจะดูดีและมีความสุขกว่า ไม่มีที่ไหนที่เป็นสวรรค์บนดินเท่ากับเมืองไทยอีกแล้วครับ ผมเชื่อแน่ว่านักเรียนที่มาเรียนอินเดียทุกๆคนคงคิดเหมือนกับผม อยากกินตอนไหนก็ได้กิน
ภาวะกดดันของนักศึกษาที่ไปเรียนต่ออินเดียย่อมมีมากกว่าคนที่เรียนอยู่เมืองไทย อยู่เมืองไทยหากไม่พูดภาษาอังกฤษก็ไม่เห็นต้องอดตาย แต่อยู่อินเดียจะทำอย่างนั้นไม่ได้ ภาษาอังกฤษมีความสำคัญมาก เช่นต้องพูดคุยกับอาจารย์ ติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ ฟังอาจารย์บรรยายในห้องเรียนบ้าง ฯลฯ เพราะสถานการณ์มันบีบบังคับให้ต้องพูด ทุกคนที่มาเรียนต่อยังต่างประเทศต่างก็แบกความคาดหวังของคนไทยต่อนักศึกษาที่จบจากต่างประเทศนั่นก็คือ ต้องพูดภาษาอังกฤษได้ (อ่านออก เขียนได้) สิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนเป็นกรอบให้คนที่จบเมืองนอก ต้องได้ ต้องเป็น อย่างที่ผู้คนคาดหวังเอาไว้ แต่คนไทยหารู้ไม่ว่า นักศึกษาไทยที่เรียนเมืองนอกใช่ว่าจะพูดภาษาอังกฤษได้ดีทุกคน อาจจะมีเหตุปัจจัยทั้งภายในและภายนอกหลายๆอย่างที่ทำให้การพัฒนาภาษาไม่ดีเท่าที่ควร เป็นต้นว่า...กลัว...อาย...ซึ่งเป็นนิสัยเฉพาะคนไทย กลัวพูดผิดบ้าง กลัวพูดไปแล้ว ฝรั่งและแขกฟังไม่รู้เรื่องบ้าง อาย...ส่วนมากอายคนไทยด้วยกันเองมากกว่า ฝรั่งหรือแขกเขาไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่คนไทยคิดไปเอง จึงเป็นเหตุให้คนที่กลัวและอาย ขี้เกียจที่จะใฝ่รู้และเรียน จึงชอบคลุกอยู่แต่เฉพาะกลุ่มคนไทย พูดอีสานบ้าง พูดไทยบ้าง สรุปแล้ว ไม่ได้อะไรเลย ต่อให้อยู่อเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลียหรืออินเดียจนผมหงอก หากยังมีพฤติกรรมแบบนี้ ต่อให้เรียนต่างประเทศ 3 หรือ 4 ปี การพัฒนาในเรื่องภาษาอาจจะได้ แต่ได้ ไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น ที่ควรจะได้ ดังนั้นจึงมีนักศึกษาไทยบางคนที่เล็งเห็นปัญหาตรงจุดนี้ ไปเช่าอยู่ยังเมืองที่ไม่มีคนไทยบ้าง หรือไปอยู่หอพักที่ไม่มีคนไทย เพียงเพราะแค่อยากให้ตัวเองเก่งภาษา ! โดยอาศัยสถานการณ์และสภาวะแวดล้อมบีบบังคับให้ตัวเองต้องพูด ต้องคิด เป็นภาษาอังกฤษ


ผมเชื่อแน่ว่ามีคนไทยเป็นจำนวนมากที่อยากไปเรียนต่อต่างประเทศเพื่อหวังแค่ อย่างน้อยๆ ขอได้พูดภาษาอังกฤษกลับเขาบ้างหรืออาจจะได้อวดเพื่อนได้ว่า อย่างน้อยเราก็ดูดีมีชาติตระกูลได้ไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนา บางคนที่มีหัวคิดมองถึงอนาคตอันยาวไกล อาจจะมีมุมมองไปไกลมากกว่านี้ บางคนหลงค่านิยมผิดๆ ต้องอเมริกา อังกฤษ หรือออสเตรเลียเท่านั้น ออสเตรเลียบางเมืองก็มีแต่คนไทยเหมือนกัน เคยมีเพื่อนบอกว่า ออสเตรเลียทุกวันนี้คนไทยเยอะมาก บาง Guesthouse มีแต่คนไทยพัก หรืออาจจะมีเวียดนามปะปนบ้าง ที่น่าตกใจไม่น้อยไปกว่าอยู่อินเดียนั่นก็คือ บางวันแทบไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเลย ดังนั้นการจะไปเรียนต่อประเทศไหนที่จะทำให้เราเก่งภาษา สำหรับผมแล้ว ไม่จำเป็นต้อง อเมริกา อังกฤษ หรือออสเตรเลีย ดั่งที่คนไทยหลายคนใฝ่ฝัน อยู่เมืองไทยคุณก็เก่งได้ หากคุณมุ่งมั่น อยู่อินเดียคุณก็เก่งได้ หากคุณมีเป้าหมายที่ชัดเจนและแน่นอนที่จะมาเอาภาษา...ไม่ใช่อยู่ไปวันๆ และฝันไปเองว่า ฉันไปเรียนเมืองนอก ฉันจะต้องเก่งภาษาอังกฤษ ความจริงกับสิ่งที่ฝัน เราก็รู้ๆกันอยู่ว่า มันอยู่คนละโลกกัน หากเราเชื่อตามหลักพุทธ ศาสนานั่นก็คือ ทำดีต้องได้ดี อยากเก่งภาษาต้องศึกษาและใฝ่รู้


ผู้ปกครองบางคนมองอนาคตให้กับลูกหลาน โดยการเอาอินเดียเป็นทางผ่าน นั่นก็คือ เอาลูกหลานมาเรียนในระดับ ประถม-มัธยม เพื่อปูพื้นฐานให้กับลูกหลานให้คุ้นกับภาษาอังกฤษและพอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ เวลาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองคนเดียว ผู้ปกครองบางคนส่งลูกหลานมาดัดสันดานก็มี มีโรงเรียนกินนอนในระดับมัธยมหลายแห่งที่น่ามาเรียน เช่น ฉิมล่า ไฮเดอราบาด และปัญจาบ บรรยากาศก็ดี แต่ก็ต้องบอกเอาไว้ก่อนว่า ค่าครองชีพก็ต้องแพงไปตามสภาพบ้านเมือง เมื่อลูกหลานคุ้นเคยที่พอจะช่วยเหลือตัวเองได้ หลังจากนั้นค่อยส่งไปอเมริกา อังกฤษ หรือนานาประเทศ แล้วแต่ภาวะทางการเงินจะเอื้ออำนวย เพราะสิ่งยั่วยุในอินเดียมีน้อยมาก เมื่อเทียบกับเมืองไทยหรืออเมริกา หรืออังกฤษ ร้านเหล้า เบียร์ บ้านเรามีทุกซอย แต่อินเดียมีน้อยมาก


แนวคิด ประสบการณ์ ความรู้ ค่าครองชีพ 4 อย่างเหล่านี้ อาจจะเอาเป็นสมมติฐานวัดระดับของแต่ละประเทศไม่ได้อย่างเด็ดขาด นักศึกษาที่เรียนอเมริกา อังกฤษ หรือออสเตรเลีย ย่อมได้แนวคิด ประสบการณ์ ความรู้ ตลอดทั้งค่าครองชีพ ย่อมแตกต่างกันไปอย่างแน่นอนจากอินเดีย เงิน 15,000 ไปกลับเมืองไทย-อินเดีย อย่างสบาย เพราะค่าครองชีพในอินเดียบางเมือง และบางมหาวิทยาลัยถูกกว่าบ้านเรามากๆ มีนักศึกษาไทยเป็นจำนวนมากที่จบมาจากสถาบันชั้นนำของเมืองไทย มาสมัครเรียนที่ INDIAN INSTITUTE OF SCIENCE BANGALORE ไม่ได้ เพราะภาษาอังกฤษไม่ผ่าน นี้อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งว่า สถาบันการศึกษาอินเดีย ไม่ได้กระจอกอย่างที่คนไทยหลายๆ คนคิดเอาเอง แต่ตรงกันข้ามประเทศเพื่อนบ้านที่คนไทยคิดว่าเขาต่ำต้อย เช่นเวียดนาม กลับมีเปอร์เซ็นต์เข้าเรียนมากกว่าคนไทย ในยุคที่เทคโนโลยีทันสมัยและการสื่อสารที่อยู่แค่ปลายนิ้ว ไม่ว่าคุณจะเรียนที่อเมริกาหรืออังกฤษ ข้อมูลข่าวสารถึงกันหมด หากเราใช้เทคโนโยลีให้เป็นและถูกทางในการศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลทางการศึกษา


มหาวิทยาลัยที่ผมเรียนมีเนื้อที่ประมาณ 3,500 กว่าไร่ มีอินเตอร์เน็ตให้นักศึกษาทุกห้องพัก ดังนั้น ไม่ว่าเราจะเรียนที่อินเดียหรือยุโรป ข้อมูลก็เหมือนๆกัน เพียงแต่ต่างกันเพียงแค่สถานที่ ต่างสถาบัน ...


สิ่งหนึ่งที่อยากฝากเอาไว้สำหรับนักเรียนหรือนักศึกษาไทยที่คิดว่า อยากฝากอนาคตทางการศึกษาเอาไว้ที่อินเดีย...อินเดียมีทุกๆอย่างที่เราอยากรู้ อยากเห็น เพียงแต่ว่า ศักยภาพและสติปัญญาของเราจะรับได้มากน้อยแค่ไหน...เท่านั้นเอง จงมองอินเดียอย่างที่เขาเป็น จงอย่ามองอินเดียในสิ่งที่เราอยากให้เขาเป็น แล้วเราจะเรียนอินเดียแบบมีความสุข ถึงแม้ "บางที่อินเดียจะสกปรก ขอทานเยอะ" เรามาเรียนในห้องเรียน เราไม่ได้มาเรียนกับพวกขอทาน เราไม่ได้นั่งอยู่ริมถนนเรียน สภาพบรรยากาศภายในมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งน่ามาเรียนมาก จงคิดเอาไว้เสมอว่า คนที่เรียนอเมริกาบางคนก็ไม่ได้ฉลาดยิ่งไปกว่าคนมาเรียนอินเดียหรอก...เพียงแค่มีโอกาสทางการเงินดีกว่าและมีเส้นสายดีกว่าที่จะชักนำให้ไปสู่เส้นทางในการทำงานที่ดีกว่าเท่านั้นเอง...คนไทยส่วนมากบ้าค่านิยม จบการศึกษาจากอเมริกา อังกฤษ ดูดีกว่า ทุกวันนี้ไม่ว่าเราจะจบจากไหน อินเดียหรืออเมริกา หากมีเส้นสาย ... ก็มีโอกาสที่ดีกว่าเช่นกัน...


While I breathe I hope. ขณะที่ข้าพเจ้ามีลมหายใจอยู่ ข้าพเจ้าก็ยังมีหวัง.


โปรดอ่านต่อฉบับหน้า........ มหาวิทยาลัยที่คนไทยนิยมมาเรียนในอินเดีย ด้วยจิตคารวะผู้อ่านทุกท่าน


โดย : พงษ์ประภากรณ์
วันที่ : 2006-12-02 23:58:31


http://webboard.mthai.com/5/2006-12-02/286513.html
แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 50 20:45:22


แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 50 20:30:46


จากคุณ : Esprite  - [ 16 ม.ค. 50 20:25:31 ]
 
  
 
 
 



 ความคิดเห็นที่ 3  


ตอนที่ 3 # เรียนอินเดีย:มันได้อะไรขึ้นมา !


หากมีใครสักคนบอกกับผมว่า "อินเดียสกปรก แขกกลิ่นตัวเหม็น เห็นแก่ตัว ขอทานเยอะ ไม่น่าไปเรียน ฯลฯ" สิ่งเหล่านี้คือคำปรามาสของคนไทยที่มีต่ออินเดีย ที่ผมได้ยินบ่อยที่สุด ผมในฐานะเป็นคนไทยคนหนึ่งที่เรียนในอินเดีย ผมไม่เคยเถียงและเก็บเอามาใส่ใจกับคำพูดเหล่านี้ ผมนั่งเครื่องบินข้ามน้ำข้ามทะเลมา ไม่ได้ตั้งใจมาจับผิดใคร ผมมาเรียน หน้าที่ของผมก็คือเก็บเกี่ยวเอาแต่สิ่งดีๆ และวิทยาการที่ดี ที่บ้านเราอาจจะไม่มี ที่อินเดียเขาอาจจะมี เรียนรู้และพัฒนาศักยภาพตัวเองให้เก่งเหมือนอย่างเขา และเรียนรู้ว่ารัฐบาลอินเดียเขาสามารถพัฒนาศักยภาพประชากรของเขาให้เก่งในเรื่อง IT ได้อย่างไร ที่อเมริกาเล็งเป็นตลาดอันดับหนึ่งในเอเชีย


"อินเดียสกปรกฯลฯ" คำปรามาสเหล่านี้ผมก็รู้ว่ามันจริง คนอินเดียเขาก็ไม่เคยเถียงว่ามันไม่จริง แต่คนอินเดียที่เขามีการศึกษา มีความรู้ มีฐานะ เขาก็ไม่อยากให้ใครมาปรามาสหรือดูถูกเหยียดหยามชาติตัวเองเหมือนกัน ทั้งที่รู้ว่ามันคือความจริง ต่อให้ผมเรียนอยู่อินเดีย หากมีแขกสักคนเดินมาหาแล้วบอกว่า "ทำไมบ้านยูมี โสเภณีเยอะเหลือเกิน" เราอาจจะโกรธ ทั้งที่เราก็รู้ว่ามันคือความจริง แต่ก็ไม่อยากให้ใครมาพูดเกี่ยวกับเมืองไทยในทางไม่ดี เพราะมันเป็นวิถี ชีวิตของคนไทยกลุ่มหนึ่งที่มีผลกระทบต่อสายตาชาวโลก เวลามาเมืองไทย...และได้สัมผัส อินเดียก็เหมือนเมืองไทย เพียงแต่อินเดียมีพื้นที่ 3,287,590 ตารางกิโลเมตร (ใหญ่กว่าไทยประมาณ 6 เท่า)และประชากรที่ยากจนอีกเป็นจำนวนมากของประชากรทั้งหมด (ประมาณ1,300 ล้าน ที่ตกสำรวจไปอีกเป็นจำนวนมาก) วิถี ชีวิตของประชากรที่ยากจนในอินเดียจึงมีมากและมีอิทธิพลต่อวิถีความคิด ของผู้คนที่ได้พบเห็นหรือได้ยินจากคำบอกเล่า จากผู้คนที่มาจากชาติอื่นๆ ที่มีโอกาสได้มาสัมผัส ชีวิตที่ยากจนของผู้คนแต่ละคนต้องต่อสู้ดิ้นรนให้ตัวเองอยู่รอด การลักเล็กขโมยน้อย ขอทาน ก็ถือว่าเป็นการเอาตัวรอดอย่างหนึ่งของคนที่ไม่มีการศึกษาและขาดโอกาสที่ดีทางสังคม เขาคิดได้แค่นั้น...เขาจึงมี ชีวิตอยู่แค่นี้! สิ่งเหล่านี้เป็นภาพสะท้อนทำให้ผมต้องนึกถึงความสำคัญของการศึกษาขึ้นมาอีกมาก "จากแต่ก่อนเรียนๆเล่นๆ เดี๋ยวก็จบไปเอง" เพราะไม่มีสิ่งกระตุ้นให้ฉุกคิดว่าการศึกษาสามารถชักนำพาคนจน ให้เป็นเจ้าคนนายคนได้.....และความจนนี่เองที่ช่วยสอนให้ใครต่อใครได้รู้จักกับคำว่า "จงรู้ตัว สร้างตัว วางตัว แล้วอย่าลืมตัว" ที่ลูกคนรวยบางคน พ่อแม่อาจจะไม่มีโอกาสได้สอน


"หากเทียบให้ไปยุโรป กับไปอินเดีย ผมเลือกที่จะไปอินเดียดีกว่า" เป็นคำพูดของ อาจารย์ ดร.ร.ต.อ.นิติภูมิ นวรัตน์ เพราะอินเดียมีหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา เผ่าพันธุ์และขนบธรรมเนียมประเพณี สิ่งที่เราได้เห็น สิ่งที่เราได้สัมผัสมีความหลากหลายมาก สิ่งเหล่านี้เป็นองค์ความรู้ ที่จะทำให้เราเกิดการเปรียบเทียบ เพื่อเอามาพัฒนาศักยภาพสมอง การถือวรรณะ (Caste) หรือที่ฝรั่งชอบใช้คำว่าเหยียดสีผิว...มันทำให้ผมรู้สึกและเห็นคุณค่าของความเป็นคน ว่าทุก ชีวิตที่เกิดมา อยากให้คนอื่นให้เกรียติตัวเอง ไม่มีใครอยากให้ตัวเองโดนคนอื่นเหยียดหยาม ดูถูก มันทำให้ผมรู้สึกรักตัวเอง รัก พ่อแม่ รักพี่น้องและเห็นคุณค่าของตัวเองและผู้อื่นที่อาจจะทำคุณประโยชน์ต่อสังคมได้อีกมาก หากวัดจากคุณค่าของความเป็นคน โดยเริ่มจากการรักตัวเองและให้เกียรติผู้อื่น


ได้มาเห็นความเจริญทางเทคโนโลยีควบคู่สายธารแห่งศรัทธา และวัฒนธรรมอันเก่าแก่ที่คนอินเดียยังคงอนุรักษ์ให้อนุชนรุ่นหลังสืบทอด ท่ามกลางกระแสวัฒนธรรมตะวันตกและวัตถุนิยมที่หลั่งไหลเข้ามาพร้อมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ๆ ได้มาเห็นต้นตำรับวัฒนธรรมหลายอย่างที่ไทยได้ยืมมาจากคนอินเดียเช่น สงกรานต์ ลอยกระทง และพิธีแรกนาขวัญ ฯลฯ และมาดัดแปลงให้เข้ากับประเพณีและอุปนิสัยคนไทย การที่คนหนึ่งๆ หรือวัฒนธรรมหนึ่งไม่เหมือนเรา ก็ไม่ได้หมายความว่า วัฒนธรรมของเขาไม่ดี การศึกษาวัฒนธรรมและภาษาเป้าหมายไม่ได้หมายถึงเรียนแล้วได้อะไร แต่เป้าหมายที่แท้จริงก็คือ เรียนแล้วจะเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร
บ้างก็ชอบมองคนไทยที่มาเรียนอินเดียว่า ได้แต่ภาษาอังกฤษสำเนียงแขกบ้างสำเนียงภาษาอังกฤษแขกฟังยากบ้าง ฟังยากหรือว่าเราไม่เก่งภาษาอังกฤษเอง? ผมก็ไม่เคยเห็นฝรั่งหรือเพื่อนชาวต่างชาติคนไหน ที่เรียนด้วยกัน งง เวลาอาจารย์บรรยาย ก็มีแต่คนไทยที่งง งงจริงๆ เพราะภาษาอังกฤษไม่ดี และเห็นคนอินเดียเขาก็ฟังฝรั่งรู้เรื่องดีกว่าคนไทยเสียอีก ประเด็นสำคัญก็คือภาษาอังกฤษของเราไม่เก่งพอ เหมือนคนจีนพูดภาษาไทย ต่อให้สำเนียงเพี้ยนแค่ไหน หากเราเก่ง เราก็รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร.....หากสิ่งที่ผมพูดมาผิด นั่นก็หมายความว่าคนอินเดียก็คงสื่อสารกับใครในโลกนี้ไม่รู้เรื่องเลย ใช่ไหมครับ? การเรียนภาษาก็เพื่อใช้สื่อความหมายจากชาติหนึ่งกับอีกชาติหนึ่งให้มีแนวคิดเป็นอย่างเดียวกัน ไม่ได้ให้มาจับผิดว่าใครสำเนียงดีหรือไม่ดี หากผู้อ่านเป็นปราชญ์คงจะทราบด้วยการศึกษาเองว่า แม้แต่คนอังกฤษแต่ละภูมิภาคก็มีสำเนียงที่แตกต่างกันออกไป คนไทยบางคนจบ ดร.จากสหรัฐ เวลาพูดก็ยังติดอังกฤษสำเนียงไทย คนญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษก็ยังติดสำเนียงท้องถิ่น (Native language) ผมไม่เคยแคร์ว่าผมจะสำเนียงเหมือนใคร ขอเพียงแค่ สิ่งที่ผมอยากจะสื่อ และรับในสิ่งที่คู่สนทนาต้องการสื่อ....รู้เรื่อง และสามารถใช้วิทยาการในโลกใบนี้ ที่ภาษาอังกฤษมีบทบาททุกอณูขุมขน นำมาพัฒนาศักยภาพตัวเอง เพียงแค่นี้ผมก็พอใจแล้ว….ซึ่งมีคนอินเดียเป็นอาจารย์สอน และมีทรัพยากรของอินเดียเป็นห้องสมุด หากผมจะมองอินเดียในด้านลบ (Negative) ผมก็มีสิทธิ์ที่จะมองได้ แต่ก็คิดว่าสิ่งเหล่านี้คงไม่ช่วยให้ใครประเทืองปัญญาขึ้นมา...เพราะเมืองไทยก็เป็นประเทศที่สกปรกติดอันดับโลกประเทศหนึ่งที่ทิ้งอินเดียไปไม่กี่อันดับ


สุดท้ายนี้ขอกล่าวสวัสดีปีใหม่คนไทยทุกคนที่อาศัยอยู่ยังแดนมาตุภูมิ ด้วยจิตคารวะผู้อ่านทุกๆท่าน


ติดตามอ่านเว็ปลิงค์คนเขียนคนเดียวกันที่ได้


1. 5 ปี ใช้ชีวิตนักศึกษาในอินเดีย http://webboard.mthai.com/5/2006-11-26/284980.html


2. ทำไม???คนไทยไม่อยากมาเรียนอินเดีย http://webboard.mthai.com/5/2006-12-02/286513.html


โดย : พงษ์ประภากรณ์
วันที่ : 2007-01-05 01:23:43


http://webboard.mthai.com/5/2007-01-05/293712.html
แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 50 20:42:57


แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 50 20:40:52


แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 50 20:31:31


จากคุณ : Esprite  - [ 16 ม.ค. 50 20:27:49 ]
 
  
 
 
 



 ความคิดเห็นที่ 4  


ตอนที่ 4 # อินเดีย กับ IT ตลาดปัญญาที่อยู่ใกล้ไทย


วันนี้ขอนำเสนอตอน...อินเดีย กับ IT ตลาดปัญญาที่อยู่ใกล้ไทย


ปัจจุบันมีคำศัพท์ใหม่สำหรับนักเศรษฐศาสตร์ นั่นก็คือ ชินเดีย เป็นคำศัพท์ใหม่ ซึ่งย่อมาจากคำว่า China + India เมื่อสนธิเข้ากันเป็นคำว่า ชินเดีย หากเอ่ยถึงจีน ก็คงไม่มีใครปฏิเสธถึงตลาดส่งเข้าที่นานาประเทศก็อยากเข้ามาลงทุน เพราะจำนวนผู้บริโภคของจำนวนประชากรมีจำนวนมากซึ่งรวมทั้งอินเดียด้วย ซึ่งเป็นสองยักษ์ใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย หากจีนและอินเดียร่วมมือกันได้เมื่อไหร่ นั่นอาจจะเป็นผลกระทบต่อสหรัฐ หลายฝ่ายก็สันนิษฐานว่า ที่อินเดียมีปัญหาในเรื่องพรมแดนบ้าง เรื่องศาสนาบ้าง เป็นเพราะสหรัฐและอังกฤษยุแหย่ ปัจจุบันอินเดียเองมีปัญหามากในเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ บังคลาเทศ ปากีสถาน บริเวณรัฐ จามูแคชเมียร์เอง ซึ่งต้องการแบ่งแยกดินแดนเป็นเขตปกครองตัวเองเหมือนอย่างที่ปากีสถานและบังคลาเทศเคยทำมาและทำได้สำเร็จ หรือแม้แต่ในส่วนของพรมแดนที่ติดกับพม่าก็ตาม


ส่วนในของความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอินเดียบางครั้งก็ดูเหมือนไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ในเรื่องเขตแดนบางส่วน เช่นอัสสัม สิกขิม ซึ่งก็มีจีนหนุนอยู่เบื้องหลังในการสนับสนุนให้แบ่งแยกปกครองตัวเอง และการที่รัฐบาลอินเดียให้องค์ดาไลลามะตลอดจนชาวทิเบต ลี้ภัยทางการเมืองมาอาศัยตั้งรกรากถิ่นฐานที่อินเดีย ซึ่งก็สร้างความไม่พอใจกับจีนอยู่ไม่น้อย ดังนั้นจึงมีผู้รู้เป็นจำนวนมากที่ออกมาให้ความคิดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจีนและอินเดียในด้านลบและยากแก่การที่ประสานความร่วมมือกัน จากการที่อินเดียเคยอยู่ใต้อาณัติของอังกฤษเป็นเวลานาน พลเมืองของอินเดียจึงอยู่ในภาวะกดดันตลอดมา คนไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นในการปกครองของชาติใดมาก่อน แต่ปัจจุบันเมืองไทยเป็นทาสวัตถุนิยมและวัฒนธรรมของตะวันตก เช่นมือถือ แฟชั่น จากเทคโนโลยีสมัยที่เข้ามามีบทบาท จากคนตะวันตกบ้าง และที่น่าเศร้าใจ จากคนไทยเองที่ชอบเรียกตัวเองว่า ผู้ดีบ้าง ผู้มีการศึกษาบ้าง ที่ไปเรียนยังยุโรป และสหรัฐ นำวัฒนธรรมที่ไม่ดีเข้ามา


ขอวกเข้ามายัง ปัญหาต่างๆของอินเดียต่อครับ บ้างก็บอกว่าเป็นเพราะแผนการของอังกฤษยุแย่ จงทำให้ปัญหาเหล่านี้เป็นตัวถ่วงในการพัฒนาเสถียรภาพในด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจของอินเดีย ปัจจุบันมีนานาประเทศ ที่กำลังเล็งอินเดียและจีนเป็นตลาดในการส่งสินค้าประเทศตนเข้ามาตีตลาดยังสองชาตินี้ เพราะจำนวนของผู้บริโภคมีอัตราสูง หรือหากจะบอกว่าอัตราของคนชั้นกลางที่มีอัตราในการใช้จ่ายมีสูง รวมทั้งอินเดียก็เป็นศูนย์ใหญ่ในเรื่องของ Software & computer อินเดียเป็นประเทศที่ไม่ไกลจากเมืองไทยมากนัก ซึ่งเหมาะแก่การเข้ามาเรียนของเด็กไทยที่หวังความก้าวหน้าในเรื่องของITและเรื่องการแพทย์ ที่มหาวิทยาลัยที่ผมศึกษาอยู่ คณะ IT บางปี มีใบประกาศติดเอาไว้สำหรับนักศึกษาที่ต้องการไปทำงานต่างประเทศ เช่น รัสเซีย สหรัฐ ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และรวมทั้งญี่ปุ่น ที่ฝรั่งให้การยอมรับ และว่าจ้างไปทำงานให้ เมื่อเทียบกับคนไทย มีกี่คน? หรือมีสถานบันการศึกษาไหนบ้างที่มีใบประกาศจากชาติต่างๆบอกว่าหากจบให้มาทำงานกับบริษัทของฉัน


ปัจจุบันมีคนยุโรปเป็นจำนวนมากที่ได้เข้ามาศึกษาที่ประเทศอินเดีย ในเรื่อง software & computer แต่บางประเทศก็จ้างคนอินเดียไปสอนตามมหาวิทยาลัยของตน เพื่อสร้างหลักสูตรและการเรียนการสอน เพราะเล็งเห็นว่า ในอนาคตเทคโนโลยีคือส่วนหนึ่งของการตลาดที่ทุกคนต้องใช้ ไม่ว่าจะในส่วนของภาครัฐหรือเอกชนก็ตาม


ในส่วนรัฐบาลไทยไม่ว่ายุคไหน ผมก็ไม่เคยรัฐบาลไหนที่เล็งเห็นความสำคัญของการศึกษา มากไปกว่า จะทำอย่างไรให้ตัวเองและครอบครัวอยู่ในสภายาวนานที่สุด จะทำอย่างไรให้ลูกเมียเป็น ส.ส. (นักการเมืองระบบครอบครัว) ด้วยกัน โดยมิได้มุ่งที่จะพัฒนาบุคลากรของชาติด้วยการศึกษา มีหลายๆชาติที่เขาเจริญ แต่ก็ยังไม่พร้อมในเรื่องเทคโนโลยี ก็จ้างคนอินเดียที่เก่งไปเป็นอาจารย์สอน เขียนหลักสูตรบ้าง โดยที่ลงทุนแค่จ้างคนอินเดียเพียงแค่คนเดียว แต่หลักสูตรสามารถใช้ได้กับคนทั้งประเทศ กับการที่จะต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากที่คนของตนจะต้องนำเงินมาใช้ในอินเดีย โดยขนเงินมาเรียนปีละหลายพันคน เวียดนามชาติที่คนไทยคิดเอาเองว่า เขาต่ำต้อยหรือด้อยพัฒนากว่าไทย ปัจจุบันผมไม่แน่ใจว่า เวียดนามและไทย ต่อไปอีกไม่กี่ปี ไทยที่เรามักจะชอบเข้าข้างตัวเองว่าเป็นชาติที่เจริญแล้ว อาจจะตามหลังเวียดนาม รัฐบาลเวียดนามมองการศึกษาเป็นเรื่องใหญ่มาก โดยที่จ้างให้คนเขียนหลักสูตรจากชาติตะวันตก มาเขียนหลักสูตรการเรียนการสอนให้คนเวียดนามได้เรียน แทนที่คนเวียดนามจะขนเงินมาเรียนยังอังกฤษ หรือสหรัฐ โดยใช้หลักสูตรที่ชาวตะวันตกเรียน หลักสูตรเดียวกัน เพียงแต่ต่างสถานที่ .....


ในทัศนะของผมคนไทยเป็นจำนวนมากที่เก่งในเรื่องของคอมและซอฟแวร์ เพียงแต่ไม่มีโอกาสในการที่จะเรียนในระดับสูง และไม่ได้รับการใส่ใจจากภาครัฐเท่าที่ควร ดังนั้นจึงมีนักศึกษาไทยเป็นจำนวนมากที่มาเรียนยังประเทศอินเดีย ประสบปัญหาในเรื่องค่าเล่าเรียน เพราะอัตราการเรียนคอมในอินเดียแพงมาก และอุปสรรค์ในเรื่องของภาษาอังกฤษ หากเราทำหลักสูตรเป็นภาษาไทยทั้งหมด...โอกาสในการเรียนของคนไทยจะมีมากขึ้น แต่คงอีกนานกว่ารัฐบาลจะคิดได้ หรืออาจจะไม่ได้คิดเลย
มีบริษัทญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นจำนวนมากที่จ้างคนอินเดียให้ไปสอนภาษาฮินดี และมีคนญี่ปุ่นเป็นจำนวนมากที่มาเรียนภาษาฮินดี เพื่ออะไร? ทุกคำตอบมุ่งไปที่การตลาดและการลงทุนในระยะยาว
ดังนั้นอินเดียจึงเป็นตลาดแห่งปัญญาอีกแห่งหนึ่งที่ไม่อยู่ไกลเมืองไทยมากนัก และเป็นอีกตัวเลือกหนึ่ง สำหรับคนที่คิดจะหาประสบการณ์ใหม่ๆในด้าน IT ซึ่งก็มีชาวตะวันตกเป็นจำนวนไม่น้อยที่นิยมมาเรียน IT ที่อินเดีย และมองการตลาดระยะยาว


สำหรับเพื่อน น้องๆ ที่กำลังมีอินเดียเป็นเป้าหมาย..ในอนาคต เมื่อมาเรียนแล้ว อย่าลืมเป้าหมายที่เราตั้งใจมา เราตั้งใจมาเรียน.....จงตั้งใจเรียนให้จบ สิ่งไหนที่เป็นความรู้ ให้ตั้งใจขวนขวายหาใส่ตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะหาได้ อย่าเอาปมด้อยของอินเดียมาเป็นกำบัง...(ใจ)... ของเรา ต่อให้เราไม่ได้มาเรียน อินเดียและแขกก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว แล้วเราจะเครียดกับมันทำไม.. มีลูกมะม่วงสุกอยู่ลูกหนึ่ง คนที่มีปัญญาน้อยก็จะเอาทิ้งเสีย แต่สำหรับคนมีปัญญามากก็จะตัดส่วนที่เสียทิ้งไป และเลือกเอาแต่สิ่งที่ดีและส่วนที่ดีกินฉันใด อินเดียก็ฉันนั้นครับ


เพื่อนๆ สามารถอ่านงานเขียนคนเดียวกัน ตั้งแต่ ตอน 1 ภึง 3 เพื่อทำความเข้าใจให้ถูกต้องได้ใน


ตอนที่ 1 5 ปี ใช้ชีวิตนักศึกษาในอินเดีย http://webboard.mthai.com/5/2006-11-26/284980.html


ตอนที่ 2 ทำไม???คนไทยไม่อยากมาเรียนอินเดีย http://webboard.mthai.com/5/2006-12-02/286513.html


ตอนที่ 3 เรียนอินเดีย: มันได้อะไรขึ้นมา ! http://webboard.mthai.com/5/2007-01-05/293712.html


โดย : พงษ์ประภากรณ์
วันที่ : 2007-01-08 09:57:33


http://webboard.mthai.com/5/2007-01-08/294244.html
แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 50 21:00:17


แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 50 20:41:47


แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 50 20:32:00


จากคุณ : Esprite  - [ 16 ม.ค. 50 20:29:29 ]
 
  
 
 
 



 ความคิดเห็นที่ 5  


ตอนที่ 5 # มองเขา ดูเรา: ฝรั่งมองไทย แขกมองไทย


ตั้งแต่ตอน 1-5 หลายท่านที่ติดตามอ่านกระทู้ของผม อาจจะรู้สึกหมั่นไส้ ที่ผมอาจจะพูดยกยอแต่คนอินเดียมาก บ้างก็ว่าผมเป็นตัวแทนพวกเอเยนซี่ ปัจจุบันผมเป็นนักศึกษาอยู่ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือได้เสียอะไรกับพวกเอเยนซี่ และผมก็ไม่อยากแนะนำให้เด็กไทยไปแบบเอเยนซี่ด้วยครับ การไปศึกษาต่ออินเดียนั้น มีหลายแบบด้วยกัน หากเป็นไปได้ควรไปปรึกษาสถานทูตดูครับ รวมทั้งทุนการศึกษาด้วย หรือไม่หากมีใครรู้จักที่เรียนอยู่อินเดีย จะเป็นการได้ข้อมูลที่แน่นอนกว่า และอาจจะไม่โดนถูกหลอก จากกลุ่มที่ไม่หวังดี


สิ่งทั้งหมดที่ผมได้เรียนให้ทราบเกี่ยวกับอินเดียนั่นคือสิ่งดีๆที่คนไทยควรรับรู้ครับ เป็นการนำเสนอในสิ่งที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์มากกว่ามุ่งเป้าดูถูก..หรือแขกเก่งกว่าไทย สิ่งที่ไม่ดีในอินเดียเยอะครับ แต่อย่าไปรู้เลย...เพราะไม่ได้ช่วยให้เราประเทืองปัญญาขึ้นมา ไม่ว่าเราคนไทยจะไปเรียนต่อยังต่างประเทศใดๆก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เราควรจะนำติดตัวกลับมาเมืองไทยด้วยนั่นก็คือ วัฒนธรรมที่ดีงาม สิ่งดีๆ ที่เราเรียนรู้แล้วพิจารณาด้วยความเป็นปัญญาชนแล้วคิดว่ามีคุณค่า น่ากลับมาพัฒนาประเทศชาติ นั่นคือสิ่งที่ถูกที่ควร การที่คนไทยไปเรียนยังประเทศใดๆ แล้วเอาแต่สิ่งดีๆ ของชาตินั้นมาประยุกต์ใช้กับประเทศของเรา นี้เป็นสิ่งที่ควรทำครับ แต่จะมีสักกี่คนที่คิด และจะทำ....


วันนี้ มองเขา ดูเรา ผมขอเสนอสิ่งที่คนไทยอีกเป็นจำนวนมาก ที่อาจจะยังคิดไม่ออกว่า การที่เรา ชอบเรียกฝรั่ง ที่ไม่ค่อยมีอันจะกิน แต่งตัวมอมแมมว่า ฝรั่งขี้นกบ้าง ฝรั่งนัยน์ตาน้ำข้าวบ้าง แขกกลิ่นตัวเหม็นบ้าง สกปรกบ้าง เห็นแก่ตัวบ้าง ถ้าเห็นงูกับแขกให้ตีแขกก่อนบ้าง ฝรั่งและแขกเขามองคนไทยอย่างไร เหมือนอย่างที่เรามองเขาหรือเปล่า


ในหนังสือนิตยสาร Out look ในคอลัมน์... เมืองไทย.. เมืองไทยในปัจจุบัน การค้าประเวณีเป็นสิ่งที่แพร่หลายในสังคมเมือง เช่นในกลุ่มนักศึกษา.......นิสัยคนไทยส่วนมากไม่ค่อยตรงต่อเวลา ........ทำงานไม่เป็นระบบ ขาดระเบียบวินัย ชอบความสบาย นิสัยเฉื่อย การทำงานกับคนไทยไม่ค่อยจะสู้ดีนักเพราะ ชอบจ้องจับผิดเพื่อนร่วมงาน ใครดีกว่าไม่ได้....


ในหนังสือพิมพ์ Pioneer เมืองไทยเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีการคอรัปชั่นสูง.....การค้าประเวณีเด็กในเมืองไทยเราสามารถพบเห็นได้ในตัวเมืองใหญ่ๆ...ผู้คนอัธยาศัยดี.....แต่คนไทยส่วนมากก็ยังขาดระเบียบวินัยในตัวเองอีกมาก และไม่ค่อยรู้จักหน้าที่ในการทำงาน ไม่มีความกระตือรื้อร้นในการทำงาน......คนไทยส่วนมาก ไม่มีเป้าหมายในการทำงาน ชอบความสบาย...ปัจจุบันตามสถานแหล่งท่องเที่ยวในเมืองไทย ไม่ปลอดภัย มีการจี้ปล้นนักท่องเที่ยว ข่มขื่นบ่อยๆ


ก่อนจะจบวันนี้ ขอนำเสนอหัวข้ออีกเรื่องหนึ่ง ที่วัยรุ่นไทยเป็นจำนวนมากกำลังบ้าคลั่งในเรื่องวัฒนธรรมเกาหลี หนัง แฟชั่น มาดูว่าคนเกาหลีเองเขามองคนไทยอย่างไร จากบทความของรองศาสตราจารย์ ดร.ดำรงค์ ฐานดี ผู้อำนวยการศูนย์เกาหลีศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคำแหง มาให้ น่านำมาศึกษามากครับ คนไทยเราจะได้มองดูเขา แล้วก้มดูเราบ้าง


"..... แต่การคบค้าสมาคมและคุ้นเคยกับคนเกาหลีเป็นเวลานานๆ จะพบว่าคนเกาหลีเป็นคนใจร้อน ไม่มีความเกรงใจ ไม่สำรวม เช่น ตะโกนข้ามหัวกันอย่างไม่ยำเกรง อีกทั้งไม่มีความละอายดังเช่นพฤติกรรมที่คนทั่วโลกยอมรับว่าดีและปฏิบัติตาม แต่คนเกาหลีดึงดันทำตามสิ่งที่ตนต้องการทำ โดยไม่แยแสว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร เช่น แย่งที่นั่งบนรถไฟหรือแซงคิว ก็จะทำตัวไม่รู้ร้อน ไม่รู้สึกว่าตนกระทำผิด หรืออาจคิดว่าคนในสังคมของเขาก็ทำกันเช่นนั้น และจะไม่เอ่ยปากขอโทษเลย คนไทยที่อาศัยอยู่ในเกาหลีต่างรับไม่ได้กับพฤติกรรมแบบนี้ "


"ข้อวิพากษ์วิจารณ์ของเกาหลีที่มีต่อคนไทยก็คือ คนไทยเป็นคนขี้เกียจ ตัดสินใจช้า มัวแต่โอ้เอ้ ชอบความสบาย รักความสนุกสนาน ไม่มีความมุ่งมั่นทำสิ่งใดอย่างจริงจัง ไม่มีเป้าหมายในการทำงาน และเป็นสังคมที่ขาดระเบียบวินัย อีกทั้งจะยังเตือนคนเกาหลีด้วยกันเองว่า คนไทยเป็นคนไม่น่าคบ ควรจะแสวงหาประโยชน์จากคนไทยและเมืองไทยให้มากๆ"


สิ่งที่ผมได้นำเสนอในวันนี้ เป็นกระจกส่องให้คนไทยดูตัวเองเป็นอย่างดี เรามีสิทธิ์มองคนอื่นได้ เขาก็มีสิทธิ์มองเราได้เหมือนกัน แต่จะเป็นมุมมองไหนนั้น ขึ้นอยู่กับสิ่งดีๆที่คนนั้นได้รับไปพัฒนาศักยภาพสมองและสติปัญญาของตัวเอง.


และสิ่งที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ....การศึกษา..ที่นำไปสู่จิตสำนึกปรับให้เด็กและเยาวชนให้มีพฤติกรรมที่ดีงาม ที่สังคมไทยยังขาดและต้องการคนมีคุณธรรม.
“เมื่อสังคมใดเสื่อม สังคมนั้นมักจะโหยหาแต่คนดี”



โดย : พงษ์ประภากรณ์ (Guest !) 
วันที่ : 2007-01-13 15:00:55


http://webboard.mthai.com/5/2007-01-13/295440.html
แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 50 21:53:46


จากคุณ : Esprite  - [ 16 ม.ค. 50 21:48:59
 
 


 



__________________
PREM ROSHAN KHAN

Date:
Permalink   

 


        ขอบคุณมากๆ ค่ะคุณ เพื่อนผ่านมา



__________________
ราชา ไรชาน

Date:
Permalink   

สุดยอด ได้สาระมากๆ ครับ ขอบคุณด้วยคน


ไปล่ะ


 ราชา ไรชาน


 



__________________
daeng

Date:
Permalink   

ยอดเยี่ยมค่ะ...แวะมาคุยบ่อยๆนะคะ...คุณ เพื่อนผ่านมา...



__________________
Rain

Date:
Permalink   

ในฐานะนักศีกษาไทยคนหนึ่งที่กำลังศึกษาในอินเดีย โกลกาต้า เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคุณพงษ์.....
smile
ไม่มีประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นอะไรที่เราเรียกว่า "Standard"
We are not the standard of the world, and others also are not the standard that
we should following at all. We should follow only what we think that is good.cryyawn

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   

daeng wrote:

ยอดเยี่ยมค่ะ...แวะมาคุยบ่อยๆนะคะ...คุณ เพื่อนผ่านมา...







__________________
Page 1 of 1  sorted by
 
Quick Reply

Please log in to post quick replies.

Tweet this page Post to Digg Post to Del.icio.us


Create your own FREE Forum
Report Abuse
Powered by ActiveBoard